กระทรวงพาณิชย์เตรียมจ่ายเงิน ช่วยเหลือชาวนา ไร่ละ 1,000 บาท ในเดือน พฤศจิกายน นี้ พร้อมทั้งเร่งหารือโครงการประกันรายได้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือชาวนาอย่างต่อเนื่อง

ภายหลังจากที่ได้มีการประชุมปรึกษาหารือกับท่านนายกรัฐมนตรี ถึงมาตรการการช่วยเหลือชาวนา ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์เตรียมดำเนินการช่วยเหลือชาวนาแล้ว ไร่ละ 1,000 บาท และโครงการประกันราคา ผ่านการจ่ายเงินช่วยเหลือ โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิต เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2564/2565 ไร่ละ 1,000 บาท แต่ไม่เกินรายละ 20 ไร่ โดยคาดว่าจะเริ่มจ่ายเงินเยียวยาให้กับชาวนาได้ ประมาณในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป
ยังรวมไปถึง การดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/2565 รอบที่ 1 ซึ่งโครงการนี้เกษตรกรจะต้องขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร และจะมีการประกันรายได้ที่ราคาความชื้นไม่เกิน 15% (ไม่เกินครัวเรือนละ 40 ไร่) ยกเว้นข้าวเจ้า (ไม่เกิน 50 ไร่) เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา โดยจะชดเชยเป็นจำนวนตันของแต่ละชนิดข้าว คือ
- ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกัน 15,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน
- ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกัน 14,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
- ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกัน 10,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน
- ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกัน 11,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน
- ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกัน 12,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
นอกจากนี้ในที่ประชุมยังเห็นชอบโครงการประกันรายได้ปี 2564/65 รอบที่ 1 โดยได้กำหนดแนวทางการดำเนินโครงการเช่นเดียวกันกับปีที่ผ่านมา ดังนี้
ข้าวเปลือกหอมมะลิ นอกพื้นที่ ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี และข้าวเปลือกเหนียว ในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร จำนวน 4.689 ล้านครัวเรือน
โดยราคาและปริมาณการประกันรายได้ คือ ราคาความชื้นไม่เกิน 15% ไม่เกินครัวเรือนละ 40 ไร่ ยกเว้นข้าวเจ้า ไม่เกิน 50 ไร่ โดยจะชดเชยเป็นจำนวนตันของแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
- ข้าวเปลือกหอมมะลิ 15,000 บาทต่อตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน
- ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 14,000 บาทต่อตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
- ข้าวเจ้า 10,000 บาทต่อตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน
- ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี 11,000 บาทต่อตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน
- ข้าวเปลือกเหนียว 12,000 บาทต่อตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลัง รวมถึงหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องไปปรึกษาหารือเพื่อหาแนวทางการจัดสรรงบประมาณพร้อม จัดทำรายละเอียดให้ชัดเจนเพื่อที่จะนำเสนอ ครม. พิจารณาต่อไป
ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ย้ำว่า ให้จ่ายงบประมาณในการดำเนินโครงการต่างๆให้เกิดประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล คุ้มค่าต่อประชาชนเกษตรกร ให้ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง
สำหรับการตรวจสอบสิทธิช่วยเหลือ สามารถทำได้โดยการตรวจสอบว่า เกษตรกรที่เคยได้เงินช่วยเหลือปีที่แล้วอะไรกันบ้าง เพราะปีนี้จะจ่ายไกล้เคียงเวลา กับปีที่แล้ว